วอเตอร์สต๊อป ที่เราใช้กันอยู่ในประเทศไทยนั้น แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ แบบพีวีซี(PVC Waterstop) และแบบยางธรรมชาติหรือพารา (Rubber Waterstop)
ยางธรรมชาติ(Natural Rubber) ได้จากต้นยางพารา โดยการกรีดลำต้นนำเอาน้ำยางสดหรือน้ำยางดิบ (latex)นำมาแปรสภาพเป็น 2 ลักษณะ คือ ในรูปของน้ำยางข้นและในรูปของยางแห้ง ยางพาราถูกนำไปผลิตสินค้าหลากหลายชนิดที่ไม่ต้องการอายุการใช้งานที่ยาวนานมากนัก เช่น ที่ปัดน้ำฝนรถยนต์ พื้นรองเท้า เป็นต้น ยางพาราในปัจจุบันราคาน้ำยางดิบมีราคาที่ถูกมาก
พีวีซี (Polyvinylchloride) คือ พลาสติกสังเคราะห์ทำจาก คลอรีน 57% (ผลิตมาจากเกลือเกรดอุตสาหกรรม) และ คาร์บอน 43% (ส่วนใหญ่ผลิตมาจากน้ำมัน / ก๊าซธรรมชาติ)
พีวีซีเรซินจะถูกเติมแต่งด้วยสารเติมแต่งต่างๆ เพื่อให้ได้คุณสมบัติที่ตรงตามการใช้งาน เช่น ให้ทนต่อการฉีกขาด, ทนต่อแรงดึง เป็นต้น
มีการจำแนกออกเป็นสองประเภทง่ายๆ คือพีวีซีแข็งที่ใช้ผลิตเป็นท่อน้ำดื่ม(สีฟ้า) ท่อร้อยสายไฟ(สีเหลือง) กรอบประตูหน้าต่าง เป็นต้น และ พีวีซีแบบนิ่ม
พีวีซีที่ใช้ผลิตวอเตอร์สต๊อปจะมาในรูปแบบของพีวีซีนิ่ม เช่นเดียวกับ ฉนวนของสายไฟฟ้า,ท่อจ่ายน้ำเกลือสำหรับใช้ในทางการแพทย์,พื้น, หนังเทียม เป็นต้น รวมถึงหลายครั้งที่พีวีซีนิ่มถูกนำมาใช้แทนยางธรรมชาติ เนื่องจากมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าหลายเท่าตัว (เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าพลาสติกมีระยะเวลาการย่อยสลายที่ยาวนานมาก)
อนึ่ง พีวีซีเป็นพลาสติกที่นิยมใช้งานเกี่ยวกับน้ำมากที่สุด เนื่องจาก สามารถกันน้ำซึมผ่านหรือดูดซึมน้ำได้ดี รวมถึงคุณสมบัติที่ไม่สลายตัวเมื่อสัมผัสกับน้ำเป็นเวลานาน
#สรุป# ยางธรรมชาติจะได้เปรียบตรงที่ราคาถูก แต่สำหรับท่านที่มีงบประมาณเพียงพอต้องการอายุการใช้งานที่ยาวนานมากๆ เราแนะนำว่าควรใช้เป็น PVC Waterstop จะดีกว่า เนื่องจากเหตุผลหลักๆคือ การที่พีวีซีเป็นพลาสติกที่ไม่ย่อยสลายตัวทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
หน้าที่เข้าชม | 1,814,619 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,365,486 ครั้ง |
เปิดร้าน | 30 ต.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 4 ก.ย. 2568 |
For Admin